อุตสาหกรรมการผลิตทั่วโลกอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญที่กำลังเข้าสู่ปี 2025 ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และภัยคุกคามความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่ทวีความรุนแรงขึ้นนั้นต้องการโซลูชันเชิงกลยุทธ์อย่างเร่งด่วน
แม้ว่าผู้ผลิตหลายรายจะตระหนักถึงศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงด้วยเทคโนโลยีอย่าง Industrial AI แต่การที่ลูกค้าไม่อาจตัดสินใจที่จะซื้อและพะว้าพะวังที่จะ Disrupt ระบบที่มีอยู่จะเป็นการฉุดรั้งหลายๆ อย่างอยู่ ผู้ผลิตต้องเผชิญกับแรงกดดันรูปแบบต่างๆในสถานการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ในการทำวิจัยของผู้ผลิตจากทั่วโลก ทาง IFS ได้พบว่าความท้าทายสามอันดับแรก คือ หนึ่ง ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี สองคือ ภัยคุกคามด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ และสุดท้ายก็คือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปัญหาเหล่านี้ก่อให้เกิดความเสี่ยงอย่างมาก จากการหยุดชะงักในการปฏิบัติงานที่เกิดจากการโจมตีทางไซเบอร์ ไปจนถึงความเปราะบางของห่วงโซ่อุปทานที่เลวร้ายลงจากเหตุการณ์สภาพภูมิอากาศ เช่น น้ำท่วมและภัยแล้ง
ภัยคุกคามความปลอดภัยทางไซเบอร์ถือเป็นข้อกังวลอันดับต้นๆ ของผู้ผลิตมากกว่าหนึ่งในสี่ซึ่งมีเหตุผลที่ดี ระบบที่เชื่อมต่อถึงกันและการพึ่งพาเครื่องมือดิจิทัลช่วยเพิ่มความเสี่ยงที่จะถูกโจมตี บริษัทต่างๆ จึงลงทุนในเทคโนโลยีด้านความปลอดภัย เช่น คลาวด์ คอมพิวติ้ง ซึ่งผู้บริหารด้านการผลิตส่วนใหญ่ให้ความสำคัญเสมือนรากฐานของการทำ Digital Transformation
ความท้าทายที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศก่อให้เกิดความเสี่ยงต่ออุตสาหกรรมบางประเภทมากเพียงใด ตัวอย่างเช่น ผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มเผชิญกับความท้าทายเนื่องจากวิธีการปลูกพืชแบบดั้งเดิมได้ผลผลิตน้อยลง และเพื่อต่อสู้กับความเสี่ยงเหล่านี้ ผู้ผลิตกำลังจัดลำดับความสำคัญของความยืดหยุ่นในการดำเนินงานและลงทุนในการเข้าสู่ตลาดใหม่เพื่อกระจายความเสี่ยงและลดการพึ่งพา
ย่างก้าวของการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี
ทำให้สองในสามของผู้ผลิตไปอยู่ในกลุ่มบริษัทที่ยังไม่ปรับตัวทางดิจิทัลไม่ได้ โดยยังต้องพึ่งพาเครื่องมือและกระบวนการที่ล้าสมัย อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารส่วนใหญ่เชื่อว่าบริษัทของพวกเขาจะอยู่ได้ไม่เกินสามปีหากปราศจากการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ จุดเริ่มต้นยังคงเป็นปัญหาสำหรับผู้ผลิตส่วนใหญ่ ความลังเลจะหมายถึง ความก้าวหน้าจะเป็นไปได้อย่างเชื่องช้า เราเรียกสิ่งนี้ว่า “อัมพาตทางเลือก” ซึ่งทุกสิ่งมีความสำคัญและไม่มีอะไรสำคัญ แต่การเปลี่ยนแปลงกำลังมา
ในปี 2025 เราจะได้เห็นผู้ผลิตตัดสินใจด้านเทคโนโลยีเชิงกลยุทธ์ และเริ่มก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ในบทความนี้ เราจะสรุปการคาดการณ์ของเราในปี 2025
การคาดการณ์ที่ 1: บทบาทของ Industrial AI ในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง
แม้ว่า AI จะถือกำเนิดมาหลายปีแล้ว แต่การใช้งานก็ช้ากว่าที่คาดไว้ อุปสรรคต่างๆ อย่างเช่น คุณภาพของข้อมูลที่ไม่ดี ประโยชน์ที่ไม่ชัดเจน และข้อกังวลด้านการปฏิบัติตามกฎระเบียบ ทำให้ผู้ผลิตหลายรายไม่สามารถยอมรับ AI อย่างไรก็ตาม สำหรับบริษัทที่สามารถเอาชนะอุปสรรคเหล่านี้ได้ จะได้รับประโยชน์อย่างมากมาย ผู้ผลิตที่บุกเบิกแนวทางไปข้างหน้าโดยการนำ Industrial AI มาใช้สามารถปรับปรุงธุรกิจและความได้เปรียบทางการแข่งขันแบบที่จับต้องได้จริง
ผู้ผลิตรายงานว่า Industrial AI สามารถช่วยในการปรับปรุงที่สำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การจัดการพลังงาน การบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์ การวางแผนความต้องการ การบริการลูกค้า และการออกแบบผลิตภัณฑ์ จากการศึกษาการใช้งานในช่วงแรกๆ ค้นพบว่าผู้ผลิตสามารถเสริมความคล่องตัวเพิ่มขึ้นได้ถึง 50% ประสิทธิภาพการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 44% และสนับสนุนการตัดสินใจที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล
ลูกค้าอุตสาหกรรมการผลิตของไอเอฟเอสรายหนึ่งได้กล่าวเมื่อเร็วๆ นี้ว่า
“AI และหุ่นยนต์สามารถเร่งการพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้อย่างมาก โดยการลดเวลาวนซ้ำด้านการออกแบบ ลดความพยายามในการสร้างต้นแบบ และปรับปรุงวิทยาศาสตร์ด้านความปลอดภัย ช่วยให้ผู้ผลิตสามารถนำผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดได้เร็วขึ้นและสามารถแข่งขันได้”
ในขณะที่กลุ่มผู้ที่ใช้งานตั้งแต่ช่วงแรกๆ กำลังถอยห่างจากกลุ่มที่ยังไม่เปิดรับ AI อย่างเต็มรูปแบบ คาดว่าภายในปี 2030 AI จะบูรณาการเข้ากับระบบการผลิตหลักอย่างเต็มรูปแบบ เช่น แพลตฟอร์ม ERP และอุปกรณ์ IoT ช่วยขับเคลื่อนประสิทธิภาพในทุกระดับ และตั้งแต่ปี 2025 เป็นต้นไป ผู้ผลิตจะต้องกำหนดคุณค่าของ AI สำหรับองค์กรของตน และยอมรับว่าโดยเนื้อหาความเสี่ยงนั้นมีอยู่ในนวัตกรรมเสมอ ความเสี่ยงนั่นไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับผู้ผลิตเสมอไป แต่เพื่อให้องค์กรสามารถแข่งขันในตลาดพวกเขาจำเป็นต้องยอมรับความเสี่ยง
การคาดการณ์ที่ 2: GenAI กำลังแปลงโฉมบุคคลากร
ในขณะที่ Industrial AI ทำให้ AI อยู่ในกระบวนการทางธุรกิจ ข้อมูล และแอปพลิเคชัน พวกเรายังเห็นว่า GenAI ปฏิวัติบุคลากรด้านการผลิตโดยทำให้งานประจำให้เป็นงานอัตโนมัติและเพิ่มขีดความสามารถของมนุษย์ ตัวอย่างเช่น ระบบที่ขับเคลื่อนด้วย Gen AI ได้เปลี่ยนโฉมพนักงานผลิตโดยให้พวกเขาเข้าถึงข้อมูลในแบบที่พวกเขาไม่เคยมีมาก่อน สามารถช่วยให้การตัดสินใจรวดเร็วยิ่งขึ้นและการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ เราคาดว่าภายในสามปีข้างหน้า GenAI จะสร้างพนักงานแบบผสมผสานที่ช่วยให้พนักงานมุ่งเน้นไปที่ความคิดสร้างสรรค์ การแก้ปัญหา และการกำกับดูแลเชิงกลยุทธ์
สิ่งนี้จะเปลี่ยนการจัดการคนที่มีความสามารถ (Talent Management) เรารู้ว่าการรักษาผู้ที่เป็นคนเก่งยังคงเป็นความท้าทายที่สำคัญ โดย 1 ใน 3 ของผู้บริหารระดับสูง (C-suite) 1 ใน 3 ระบุว่านี่เป็นข้อกังวลอันดับต้นๆ นอกจากนี้เรายังอยู่บนจุดสูงสุดของสึนามิสีเงิน นั่นก็คือแรงงาน 20% อยู่ในช่วงวัยเกษียณอายุ ทำให้เกิดช่องว่างด้านทักษะอย่างมาก ประกอบกับข้อเท็จจริงที่ว่าผู้ผลิตส่วนใหญ่รายงานว่าประสบปัญหาในการหาพนักงานที่มีความเชี่ยวชาญที่จำเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น AI ต้องการความรู้เฉพาะทาง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องหาแนวทางและนโยบายใหม่ๆ มาแก้ไขปัญหานี้ เพื่อแก้ไขปัญหานี้ บริษัทต่างๆ ปรับใช้นโยบายการทำงานที่ยืดหยุ่น ลงทุนในการศึกษาทางด้าน STEM (Science Technology Engineering and Mathematics Education) และปรับปรุงแบรนด์นายจ้าง ซึ่งในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ผู้ผลิตหลายรายวางแผนที่จะลงทุนในเครื่องมือดิจิทัลและโปรแกรมการฝึกอบรมเพื่อรองรับบุคลากรในอนาคต โปรแกรมการฝึกอบรมจะช่วยให้พนักงานทำงานร่วมกับระบบ AI ได้ ตีความข้อมูลที่ซับซ้อน และใช้ประโยชน์จากเครื่องมือ AI เพื่อความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ การเปลี่ยนแปลงนี้จะสร้างบุคลากรที่พร้อมจะประยุกต์ใช้ศักยภาพของ AI ขณะเดียวกันก็รักษาความเฉลียวฉลาดของมนุษย์ไว้เป็นรากฐานสำคัญของอุตสาหกรรม
การคาดการณ์ที่ 3: ความยั่งยืนและการหมุนเวียน – มาตรฐานใหม่
ความยั่งยืนกำลังกลายเป็นรากฐานสำคัญของกลยุทธ์ทางการผลิต การหมุนเวียน – การออกแบบผลิตภัณฑ์เพื่อนำกลับมาใช้ซ้ำ (Reuse) หรือรีไซเคิล (Recycle) – กำลังได้รับความสนใจ เนื่องจากบริษัทต่างๆ พยายามลดของเสียให้เหลือน้อยที่สุดและปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เข้มงวด เช่น ข้อบังคับ Corporate Sustainability Reporting Directive (CSRD)
หนังสือเดินทางดิจิทัลของผลิตภัณฑ์ (Digital Product Passports – DPP) จะมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาระบบหมุนเวียนด้วยการให้ข้อมูลโดยละเอียดที่ปลอดภัยด้วยบล็อกเชนเกี่ยวกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของผลิตภัณฑ์ องค์ประกอบของผลิตภัณฑ์ การผลิต และประวัติ ตั้งแต่ปี 2027 เป็นต้นไป แบตเตอรี่ของยานพาหนะในอุตสาหกรรมและไฟฟ้าจะเป็นผลิตภัณฑ์แรกที่มี DPP บังคับ ผลิตภัณฑ์ประเภทอื่นๆ รวมถึงสิ่งทอ คาดว่าจะตามมาภายในปี 2030 โดย DPP จะเพิ่มความโปร่งใสและปรับปรุงกระบวนการรีไซเคิล และสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคสำหรับสินค้าที่ยั่งยืน
AI จะขับเคลื่อนความพยายามด้านความยั่งยืนด้วย ยกตัวอย่างเช่น ระบบที่ขับเคลื่อนด้วย AI สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานและลดของเสียระหว่างการผลิต ช่วยให้บริษัทบรรลุเป้าหมายทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและการประหยัดต้นทุน ในปี 2025 เราคาดว่าจะเห็นการหมุนเวียนเกิดขึ้นจริง เนื่องจากองค์กรต่างๆ พยายามขับเคลื่อนประสิทธิภาพด้านความยั่งยืนให้ไกลขึ้นและเร็วขึ้น
การคาดการณ์ที่ 4: การผลิตในท้องถิ่นและห่วงโซ่อุปทานที่ยืดหยุ่น
ห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกมีความเสี่ยงมากขึ้นที่จะหยุดชะงักจากความไม่มั่นคงทางภูมิรัฐศาสตร์และสภาพอากาศที่รุนแรง เป็นผลให้ผู้ผลิตเกือบครึ่ง (49%) หันมาใช้รูปแบบการผลิตแบบท้องถิ่นมากขึ้น
โรงงานที่อยู่ในท้องถิ่นที่อยู่ใกล้กับตลาดสำคัญ ๆ จะช่วยให้ผู้ผลิตสามารถลดต้นทุนการขนส่ง ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับห่วงโซ่อุปทาน โรงงานเหล่านี้จะต้องพึ่งพาเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย เช่น การผลิตแบบเติมเนื้อวัสดุ (Additive Manufacturing) และหุ่นยนต์ เพื่อรักษาและปรับปรุงประสิทธิภาพพร้อมตอบสนองความต้องการของตลาดท้องถิ่น
คำกระตุ้นการตัดสินใจสู่ปี 2030
ในปี 2025 เราจะเห็นเสียงปืนสตาร์ทเพื่อให้ผู้ผลิตปรับตัวหรือเสี่ยงต่อการตกยุค ยุคแห่งการเร่งความเร็วและความรู้สึกเร่งด่วนจะผลักดันให้ผู้ผลิตจัดลำดับความสำคัญของ Digital Transformationการใช้ AI และการพัฒนาบุคลากรเพื่อเสริมประสิทธิภาพการผลิต
ในอุตสาหกรรมที่ทุกคนจะเห็นพ้องกันว่าการอยู่รอดขึ้นอยู่กับเทคโนโลยี ณ ตอนนี้ถึงเวลาที่ต้องลงมือทำแล้ว ปี 2025 จะเป็นปีที่เป็นจุดเริ่มต้น ด้วยการเอาชนะความเชื่องช้า การวางกลยุทธ์ให้สอดคล้อง และการยอมรับนวัตกรรม ผู้ผลิตสามารถเปลี่ยนความท้าทายให้เป็นโอกาส นำอุตสาหกรรมส่วนนี้ไปสู่อนาคตที่มีความยืดหยุ่น ยั่งยืน และเจริญรุ่งเรือง
*การวิจัยดำเนินการโดย Censuswide ในปี 2024 โดยมีกลุ่มตัวอย่างของผู้มีอำนาจตัดสินใจอาวุโส 815 คนในอุตสาหกรรมการผลิตที่มีมูลค่าการซื้อขายของบริษัทมากกว่า 150 ล้านปอนด์ทั่วสหราชอาณาจักร, เยอรมนี, ออสเตรีย, สวิตเซอร์แลนด์, เนเธอร์แลนด์, นอร์เวย์, สวีเดน, ฝรั่งเศส, ญี่ปุ่น, สหรัฐอเมริกา, โปแลนด์, สาธารณรัฐเช็ก ,สิงคโปร์ ,ออสเตรเลีย, ซาอุดีอาระเบีย, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, เบลเยียม, แคนาดา และอินโดนีเซีย
หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมหรือพูดคุยกับผู้เชียวชาญด้านระบบธุรกิจการผลิต (Manufacturing) สามารถกรอกข้อมูลเพื่อให้เราติดต่อกลับได้ที่นี่