บริษัท IFS ถูกก่อตั้งขึ้นและดำเนินงานมาอย่างยาวนานหลายปี จนปัจจุบันได้มายืนอยู่ในจุดที่พิเศษและไม่เหมือนบริษัทอื่นใดในโลก บทความนี้จะขออธิบายถึงประวัติและจุดเด่นของ IFS เพื่อให้ทุกคนได้ทำความรู้จัก IFS มากขึ้น
สำหรับผู้ที่กำลังศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมหรือสนใจในระบบ ERP ในปัจจุบัน ห้ามพลาดเนื้อหาบทความต่อไปนี้
ฟังก์ชั่นการทำงานที่ได้รับการยอมรับว่าดีที่สุดในโลก
ประวัติความเป็นของมาของ IFS
IFS ก่อตั้งขึ้นในปี 1983 ที่ประเทศสวีเดนโดย Bent Nilsson และเพื่อนอีก 4 คนขณะที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับมหาวิทยาลัย ซึ่งในสมัยนั้นอยู่ในช่วงของการปฏิรูปพลังงานและแข่งขันทางธุรกิจเพื่อก่อตั้งโรงไฟฟ้านิวเคลียร์
ในตอนนั้น หนึ่งในผู้ก่อตั้งของ IFS ได้เข้าไปกางเต้นท์ค้างแรมที่ไซต์ของลูกค้า อีกทั้งยังทำงานหามรุ่งหามค่ำอยู่หลายวันเพื่อจัดตั้งระบบ Asset Management และ Maintenance System ให้กับลูกค้าซึ่งเป็นลูกค้ารายแรก และนั่นคือจุดเริ่มต้นของธุรกิจ IFS
บริษัทส่วนใหญ่ในปัจจุบันจะส่งพนักงานไปประจำในแต่ละไซต์ของลูกค้าเพื่อคอยให้การช่วยเหลือและเก็บข้อมูลผ่านการรับฟังความต้องการจากลูกค้า (User requirement) จากนั้นนำข้อมูลที่ได้มาสรุปเพื่อทำการออกแบบและพัฒนาโปรแกรมให้ออกมาตรงตามธุรกิจของลูกค้า ซึ่งงานในลักษณะนี้มักพบเห็นได้ในบริษัททั่ว ๆ ไป งานลักษณะนี้เริ่มทำกันมาตั้งแต่เมื่อ 38 ปีที่แล้ว โดยเป็นการมุ่งเน้นเพื่อเสริมสร้างฟังก์ชั่นการใช้งานะบบมากกว่าการมุ่งเน้นด้านการตลาด
จุดเริ่มต้นของระบบ IFS คือการมุ่งเน้นไปที่ Asset Management และ Maintenance system ในภายหลัง ทาง IFS ได้มีการพัฒนาปรับปรุงระบบมาอย่างต่อเนื่องและได้ทำการปล่อยระบบออกสู่ตลาดด้วยชื่อใหม่จากเดิม ERP เป็น IFS Applications ในปี 1990 ระบบได้รับการปรับปรุงและพัฒนามาอย่างต่อเนื่องยาวนานถึง 30 ปี จนปัจจุบันกลายเป็นระบบที่พร้อมด้วยฟังก์ชั่นการทำงานที่ครอบคลุมและเป็นระบบที่มีผู้ใช้งานทั่วโลกอีกด้วย
ฟังก์ชั่นการทำงานที่ได้รับการยอมรับว่าดีที่สุดในโลก
IFS Applications ได้รับการยอมรับจากบริษัท IDC ว่าเป็นระบบ ERP ที่ดีที่สุดในโลกสำหรับอุตสาหกรรมการผลิต
สิ่งนี้เป็นการแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของ IFS ที่ต้องการสรรค์สร้างสิ่งดีๆ ให้กับลูกค้าอีกทั้งยังคอยใส่ใจให้การสนับสนุนลูกค้าอย่างใกล้ชิดอยู่เสมอ ผลการประเมินในครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าฟังก์ชั่นมาตรฐาน (Standard Function) เป็นหัวใจสำคัญในการสร้างระบบให้กับลูกค้า
ในอดีต บริษัทส่วนใหญ่จะใช้แนวคิด Fit & Gap คือการ Customize ในส่วนที่เป็น Gap กล่าวคือส่วนที่ไม่ตรงกับงานธุรกิจของลูกค้า ซึ่งอาจจะเป็นวิธีการที่ไม่เหมาะสมในทางธุรกิจสักเท่าไร ในปัจจุบันเราใช้แนวคิดใหม่ที่เรียกว่า Fit to Standard คือให้ลูกค้าใช้งานฟังก์ชั่นมาตรฐาน (Standard function) ที่ได้รับการปรับปรุงมาและพัฒนามาอย่างดี พร้อมใช้งาน เพื่อที่ลูกค้าจะสามารถสร้างกระบวนการทางธุรกิจให้สอดคล้องกับระบบได้ง่าย อีกทั้งไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการแก้ไขระบบอีกด้วย
จุดเด่นของระบบ IFS Applications
จากที่ได้กล่าวไปก่อนหน้านี้ จุดเด่นที่สุดของระบบ IFS Applications คือเป็นระบบมาตรฐานที่พร้อมใช้งานอย่างเต็มรูปแบบ มีฟังก์ชั่นครอบคลุมทุกส่วนงานของภาคธุรกิจ และยังเป็นระบบที่แทบจะไม่ต้องแก้ไขหรือปรับเปลี่ยนก็สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
IFS Cloud: แพลตฟอร์มหนึ่งเดียว ให้ขีดความสามารถระดับแนวหน้า
IFS Cloud นำเสนอความสามารถขั้นสูงของไอเอฟเอสได้อย่างเต็มรูปแบบ ผ่านโซลูชันที่ปรับให้เหมาะกับอุตสาหกรรมเฉพาะและทุกภาคส่วนที่มีการใช้งานโซลูชัน ซึ่งทั้งหมดนี้ดำเนินการผ่านผลิตภัณฑ์และแพลตฟอร์มหนึ่งเดียวที่พร้อมให้การสนับสนุนอย่างรอบด้าน คุณสามารถเริ่มต้นด้วยฟังก์ชั่นที่ธุรกิจของคุณต้องการได้ก่อน จากนั้นจึงค่อยปรับใช้ความสามารถเพิ่มเติมอื่นๆ เมื่อความต้องการทางธุรกิจของคุณเปลี่ยนแปลงและองค์กรเกิดการขยายตัว